ไหนจะมูลค่าลีกหาย ไหนจะนายกลาออก หรือจะเป็นวิกฤต (?) ฟุตบอลไทย
เรื่องน่าปวดหัวเกิดขึ้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี พลาดตั๋วไปฟุตบอลโลก แบบน่าเสียดาย แต่ไม่น่าเสียใจ ทั้งเรื่องจากจุดพลุไฟในสนาม ไปจนถึงการประมูลลิขสิทธิถ่ายทอดสดของ ไทยลีก ไปจนถึงการลาออกของนายกสมาคมฟุตบอลฯ!
ประเด็นที่ใหญ่ที่สุดคือการนัดประชุมพูดคุยกันของเหล่าสมาชิกสโมสรจาก ไทยลีก 1 จำนวน 16 ทีม กับ บริษัท ไทยลีก จำกัด เรื่องประเด็นเงินรายได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดของการแข่งขัน ไทยลีก ฤดูกาลที่จะมาถึงนี้ ซึ่งในที่ประชุมระบุเอาไว้ว่า มีผู้ประมูลมูลค่าสูงสุดที่จะจ่ายเงินสำหรับการถ่ายทอดเพียง 50 ล้านบาทเท่านั้น
ในช่วงปี 2017-2020 มูลค่าลิขสิทธิถ่ายทอดสดของ ไทยลีก เคยขึ้นไปสูงถึง ฤดูกาลละ 1,050 ล้านบาท โดยการประมูลของกลุ่มทรู หรือทรู วิชั่น ก่อนจะค่อยๆ ลดลงมาจากปัจจัยทั้งเรื่องของ โควิด หรือเศรษฐกิจที่ถดถอยลงในระดับประเทศ แต่ในฤดูกาลก่อนก็ยังอยู่ที่ประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งถูกประมูลโดย AIS ซึ่งก็ยังมากว่าที่มีคนยื่นอยู่ในฤดูกาลนี้เกือบ 6 เท่า
ในการประชุมดังกล่าวเต็มไปด้วย ‘เจ้าของทีม’ หรือบุคคลที่มีอำนาจในการตัดสินใจ และกำหนดทิศทางของสโมสร รวมถึงของ ไทยลีก ไม่ว่าจะเป็น เนวิน ชิดชอบ จาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มาดามแป้ง จาก การท่าเรือ เอฟซี หรือปวิณ ภิรมย์ภักดี จาก บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เป็นตัวแทนของทีมเข้ามาประชุมด้วยกันทั้งสิ้น เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจขับเคลื่อนฟุตบอลไทย มากที่สุดนั่งรวมหัวกันอยู่ในห้องประชุมห้องนี้
ผลสรุปคือมีการโหวตกันของเหล่าสมาชิก 16 ทีม บนลีกสูงสุดของประเทศไทย ให้แยก ไทยลีก ออกมาบริหารจัดการเอง โดยจะมีทีม 16 ทีมที่เป็นสมาชิกในลีก เป็นผู้ถือหุ้นส่วนหลัก ทีมใดขึ้น ทีมใดตกชั้นก็วนเวียนตำแหน่งสมาชิกกันไป และมีอีกหนึ่งเสียงคือ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ทั้งหมดนี้ยังไม่มีรายละเอียดออกมาอย่างเป็นทางการ แต่มีการลองยกมือแสดงความเห็นกัน มีทีมที่ไม่เห็นด้วยเพียง 6 ทีม ซึ่งเหตุผลก็คือต้องการเวลากลับไปคิดทบทวนดูก่อน
การแยก ไทยลีก หรือลีกสูงสุดออกมาดูแลกันเอง ก็เป็นโมเดลการบริหารแบบเดียว พรีเมียร์ลีก ประเทศอังกฤษ ที่ลีกสูงสุดบริหารโดย บริษัทที่มีสโมสรเป็นหุ้นส่วน ส่วนลีกรองลงมาก็บริหารโดย สมาคมฟุตบอลอังกฤษ ในนามบริษัทที่ชื่อว่า EFL ซึ่งมูลค่าแทบจะเทียบกับ พรีเมียร์ลีก ไม่ได้เลย
แน่นอนว่ามันจะส่งผลดีในระยะยาว เพราะเหล่าสโมสรตัวท็อปไม่ต้องไปพึ่งสมาคมฟุตบอล ไม่ต้องไปรอว่า ในแต่ละฤดูกาล สมาคมฟุตบอล จะเหลือเงินสนับสนุนทีมลงมาให้สโมสรเพียงเท่าใด แต่พวกเขาสามารถหาสปอนเซอร์ หาผู้ที่เข้ามาถือลิขสิทธิถ่ายทอดสด แล้วแบ่งเงินกันเองเพียง 16 ส่วน โดยไม่ต้องไปสนทีมในลีกระดับล่างกว่าอีก 100 กว่าทีม เรียกว่าได้เงินเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้นกว่าเดิม
แต่ปัญหาในเรื่องนี้มีอยู่ 2-3 อย่าง หนึ่งคือ พวกเขาเหลือเวลาอีกประมาณเดือนครึ่ง ไทยลีก ฤดูกาลใหม่ก็จะเริ่มเปิดม่านแข่งกันแล้ว ทำให้พวกเขาต้องแข่งกับเวลาในทุกๆ เรื่อง ไม่เช่นนั้นจาก 50 ล้านบาท จะกลายเป็น ‘ศูนย์’ หากแต่ละทีมต้องมาลงทุนถ่ายทอดสดทีมตัวเอง ปัญหาอีกหนึ่งข้อก็คือ แล้วเหล่าทีมระดับล่างจะลืมตาอ้าปากกันได้อย่างไร เพราะตามที่นั่งประชุม สมาคมฟุตบอล และไทยลีก ชี้ชัดว่าพวกเขาแทบจะไม่มีเงินให้ใช้ อย่าว่าแต่เงินสนับสนุนทีมเลย เงินค่าจัดการแข่งขันก็แทบจะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกแล้ว การที่เหล่าทีมจาก ไทยลีก 16 ทีมแยกตัวออกไป ก็เหมือนโยนปัญหา และกระทืบทีมเล็กๆ ที่อยู่ในลีกระดับล่างซ้ำลงไปอีก
และปัญหาด้านบนยังไม่แก้ไม่ได้ ปัญหาใหม่ก็เข้ามา เพราะ พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ดันมาประกาศลาออกจากตำแหน่ง โอเคถ้าเป็นการลาออกเพื่อรับผิดชอบ แล้วไปเริ่มใหม่กับคนใหม่ คงจะไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่ ‘บิ๊กอ๊อด’ กลับทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้อีกลูก เพราะข้อความในการลาออก ระบุว่า
“พลเอกประวิตรฯ ได้สั่งการให้ พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อรับผิดชอบผลงานการแข่งขันฟุตบอล และเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทของนักฟุตบอล และสตาฟฟ์โค้ช ในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่ประเทศกัมพูชา ตามคำแนะนำของ พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา นั้นตนในฐานะนายกสมาคมฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแแล และจดทะเบียนกับการกีฬาแห่งประเทศไทย พร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของ พลเอกประวิตรฯ”
ซึ่ง FIFA มีกฎออกมาอย่างชัดเจนว่า สมาคมกีฬาฟุตบอล ห้ามถูกแทรกแซงด้วยองค์กรใดๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะด้านการเมือง ไม่งั้นมีถูกแบนขั้นรุนแรง ห้ามร่วมแข่งขันรายการฟีฟ่าและกิจกรรมฟุตบอลของฟีฟ่า ซึ่งตลอด 20 ปีที่ผ่านมาก็มีมากกว่า 5 ประเทศที่โดนไปแล้ว ซึ่งใกล้ตัวที่สุดก็คือ อินโดนีเซีย
สุดท้ายแล้ววิกฤตฟุตบอลไทย ทั้งในระดับลีก และระดับชาติ จะเป็นอย่างไร ทั้งหมดนี้อาจเป็นเกมการเมืองหมากหนึ่งที่หยอกล้อ ไปกับการตั้งรัฐบาลของประเทศเรา ก็เป็นได้ และเมื่อทุกอย่างชัดเจน ลงตัวเรื่องผลประโยชน์ทั้งใน และนอกสนาม ปัญหาเหล่านี้ก็มีสิทธิปลิวหายไปตามสายลม เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นตลอดช่วง 1-2 อาทิตย์ ก็เป็นไปได้สูง
เหล่าแฟนบอล และคนทำทีม ก็ได้แต่ดูละครฉากนี้ว่าจะจบลงเช่นไร ละจะส่งผลกระทบอะไรกับ ฟุตบอลไทย บ้างในอนาคต
เขียนโดย The Lite Team.